กรรมแก้อย่างไร
โดย หมอนิด (กิจจา ทวีกุลกิจ) http://www.mornid.com
มีคนจำนวนมากมักจะถามวิธีแก้กรรม... หรือพยายามดิ้นรนหาอาจารย์แก้กรรมให้ ซึ่งความจริงการแก้กรรมต่างๆนั้น คนอื่นไม่สามารถที่จะแก้ให้ใครได้เพราะกรรมใครก็กรรมมัน... แต่คนส่วนมากชอบของสำเร็จรูปไม่ชอบปรุงเอง มัวแต่วิ่งหาอาจารย์ต่างๆ แก้เคราะห์แก้กรรมให้... หากอาจารย์คนนั้นรับปากจะทำให้(จะเรียกเงินเรียกทองเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็ยินดีควักให้) พิธีนี้เรียกว่า “ทำให้จิตผ่อนคลายเพราะจิตคิดว่าอาจารย์ได้สะเดาะเคราะห์แก้กรรมให้แล้ว” แต่หารู้ไม่ว่ากรรมยังเกาะอยู่ มีแต่เงินทองที่เสียให้อาจารย์นั้นเบาไปจากกระเป๋าแล้วเท่านั้น... แต่กรรมไม่ได้เบาลงแต่อย่างไร... หากกรรมที่มีอยู่คนอื่นหรืออาจารย์ต่างๆแก้ให้ได้ป่านนี้... มหาเศรษฐีผู้เรืองอำนาจ... คงจะหมดเคราะห์หมดกรรมเข้าบ้านนอนได้แล้ว ไม่ต้องทัวส์เป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนค่ำไหนนอนนั่น รวมทั้งเจ้าพ่อภาคตะวันออกผู้โด่งดัง และอดีตนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปากน้ำคงแก้เคราะห์แก้กรรมไปแล้วแต่ทำไมแต่ละคนจึงเข้าบ้านไม่ได้... ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่อยากให้มีสติคิด
กรรมมีทั้งกรรมในอดีตชาติและกรรมในชาติปัจจุบัน... กรรมในชาติปัจจุบันเราสามารถหลีกได้ด้วยการไม่ก่อกรรมทำชั่ว... ไม่คิดร้ายผู้อื่น... ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร... ไม่คดโกงหรือทรยศใคร... พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเกิดเป็นเวรเป็นกรรมต่อผู้อื่น... พยายามทำในสิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นกุศลผลบุญและกุศลผลทานให้สม่ำเสมอ... มีความซื่อสัตย์รู้คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ ซื่อตรงต่อหน้าที่และผู้ที่มาใช้บริการ... หมั่นรักษาศีลภาวนา... มีสัจจะมีคุณธรรมและเมตตาธรรม... หากทำได้เพียงเท่านี้กรรมก็จะไม่เกิด กรรมก็จะไม่มี มีแต่เทวดาคุ้มครองตัวเราตลอดไป
ส่วนกรรมในอดีตชาตินั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ซะเลยทีเดียว... เพียงแต่แก้ได้บางเรื่องหรือแก้จากหนักให้เบาลงบ้างเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะแก้กรรมได้ทุกชนิด... การแก้กรรมในอดีตชาตินั้นต้องใช้เวลาและความอดทน ความตั้งใจและจริงใจที่จะทำ... ตัวเราเองแก้เองคือหนทางที่ถูกต้องที่สุดไม่ต้องไปให้หมอดูหรืออาจารย์ไหนแก้กรรมให้... ส่วนมากมีแต่หลอกลวงเกือบทั้งนั้นเชื่อเหอะ ตัวเราหิวข้าวแต่ให้คนอื่นกินแทนแล้วเราจะหายหิวหรือไม่... คนส่วนมากยอมเสียเงิน แต่ไม่ยอมเสียเวลา ความหมายคือยอมเสียเงินทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้กับบรรดาหมอดูหรืออาจารย์ที่รับแก้กรรมเท่าไหร่เท่ากัน... แต่ไม่ยอมเสียเวลาวันละชั่วโมง – สองชั่วโมง มานั่งสวดมนต์ – ภาวนาแล้วแผ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้วยตัวเอง... แต่เวลาไปร้องคาราโอเกะร้องกันได้ทั้งคืน... การหมั่นสวดมนต์ – ภาวนาแล้วแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจะเป็นสายตรงที่สุดและดีที่สุด... เวลาจะไปทำบุญตักบาตร – ทำสังฆทานหรือทำบุญใดๆก็แล้วแต่ ขอให้เอ่ยปากชักชวนเจ้ากรรมนายเวรไปร่วมทำบุญด้วยกันทุกครั้งเจ้ากรรมนายเวรจะพึงพอใจที่สุด เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีร่างเหมือนคน เวลาถวายของพระ เจ้ากรรมนายเวรก็จะได้ร่วมอนุโมทนากับเราด้วย และทุกครั้งหลังจากทำบุญแล้วก็ต้องกรวดน้ำแผ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวรและขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอโหสิกรรมให้กับเราด้วย เจ้ากรรมนายเวรของพวกเราทุกๆคน มีทั้งสัตว์ต่างๆและมนุษย์ในอดีต... การแก้กรรมที่ถูกต้องคือวิธีที่กล่าวมาแล้ว... กรรมของแต่ละคนมีไม่เหมือนกันและมีไม่เท่ากัน ตามที่เรียกกันว่ามีกรรมมากหรือกรรมน้อย... กรรมหนักหรือกรรมเบา... จงอย่าหลงเชื่อ “คนรับแก้กรรม” แต่ให้เชื่อว่ากรรมมีจริง... เพราะฉะนั้นในชาตินี้เราทุกคนยังโชคดีที่เกิดมาเป็น “มนุษย์” ที่ยังมีโอกาสสร้างบุญและลดกรรมขึ้นอยู่ที่ “คุณจะเลือกทำอะไร” ระหว่างการทำบุญ... กับการก่อกรรม... คุณเป็นผู้กำหนดเอง
บุญเราสามารถทำได้ทุกวันเวลา การทำบุญนั้นไม่ต้องรอให้ถึงวันเกิดแล้วจึงมาทำบุญ เพราะทุกวันนี้เราเกิดอยู่ทุกวันยังหายใจอยู่ทุกวัน เราไม่ได้หายใจปีละครั้ง... การทำบุญไม่ต้องรอให้มีเคราะห์แล้วถึงทำ... ไม่ต้องรอให้หมอดูทักว่ามีเคราะห์แล้วจึงทำ... การทำบุญไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรือทุ่มเงินทำบุญ... บุญเกิดจากใจ... บุญเกิดจากเมตตา... บุญเกิดจากศีล... บุญเกิดจากการภาวนาคือสุดยอดของบุญ
บุญ – ทาน... ควรจะมีให้ครบ... จงเป็นผู้ให้... แต่อย่าหวังเป็นผู้รับ อย่าไปหวังจะได้โชคลาภการทำทานควรจะทำด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ... อย่าทำบุญทำทานเพื่อหวังจะได้โชคลาภเป็นการตอบแทน... อย่าทำบุญเพื่อหวังจะให้พระช่วย... “ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน” การไปกราบไหว้พระถ้าพระสงฆ์องค์นั้นมีศีลบริสุทธิ์เราก็ควรจะดีใจที่เราได้กราบสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า... นับว่าเป็นบุญเป็นที่สุดของชีวิต ที่ชาตินี้เราได้กราบพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
สามสิ่งที่มนุษย์ผู้ประเสริฐควรจะมีคือ... ทาน... ศีล.... ภาวนา... ผู้ใดมีแก้วทั้งสามประการนี้ท่านเปรียบได้เป็น... อริยบุคคล... ผู้ห่างไกลจากอเวจีทั้งปวง... ขอให้ทุกผู้นามเริ่มทำเริ่มปฏิบัติกันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป... เวลาไม่เคยคอยใคร... อย่าให้ลมหายใจเสียไปโดยเปล่าประโยชน์... พุทโธ... พุทโธ... พุทโธ... ภาวนาให้เกิดสมาธิ... จากสมาธิแล้วก็มาสู่กัมมัฏฐาน(กรรมฐาน)... อย่าหลงอยู่กับสมาธิเพียงอย่างเดียว... ให้เพ่งอสุภะเข้าไว้เพราะนั่นคือทางสายเอกหรือทางสายตรงของกัมมัฏฐาน(กรรมฐาน) หากหลงอยู่กับสมาธิมันจะเกิดปิติสุขเพียงอย่างเดียว มันจะไม่สามารถถึงจุดหลุดพ้นได้... บางคนมีความสุขอยู่กับสมาธิจนไม่อยากก้าวข้ามจุดลุ่มหลงที่จิตกำลังเพลินกับความสุขที่ต้องก้าวให้พ้นความหลงจึงไปไม่ถึงนิพพานเป็นที่สุด(ผมเปรียบเหมือนยังเป็นลูกอ๊อดอยู่ หากมีจุดไหนหรือสิ่งใดที่เขียนผิดหรือเข้าใจผิดจากที่เขียนมานี้ ผมต้องขอกราบขอขมาครูบาอาจารย์และผู้รู้ทั้งหลายมา ณ ที่นี้ด้วย และขอความเมตตาช่วยชี้แนะสั่งสอนผมด้วยครับ)
ด้วยความเคารพ
หมอนิด(กิจจา ทวีกุลกิจ)
09 พ.ย. 53 |