ปืนออโตเมติก 9 มม. ที่อยู่ในมือของเขาถูกกระชับทับด้วยมืออีกข้าง ก่อนถูกยกแนบข้างหูอย่างช้าๆ เข่าข้างซ้ายคลุกลงกับพื้นดินที่ชื้นแฉะขณะแอบข้างโขดหิน สายตากวาดมองไปมารอบๆ อย่างระแวดระวัง แล้วจ้องมองไปยังบ้านหลังเล็กข้างหน้าที่ติดกับหุบเขา
“เอาไงดีหมวด?” คนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้กระซิบถาม
“ดาบบอกลูกน้องโอบล้อมไว้ทั้งสองด้านรอเวลาให้สัญญาณ เราจะจับ
เป็น” เขาสั่งการ
“แต่ว่าท่านผู้กำกับสั่งจับตายนี่ครับ” คนที่ถูกเรียกดาบแย้งขึ้น
“ดาบเชื่อผมเถอะ ผมจะชี้แจงกับท่านผู้กำกับเอง”
“หากเขาต่อสู้ล่ะ” นายดาบตำรวจผู้มีอายุมากกว่ายังสงสัยและไม่ค่อยจะเห็นด้วย
“เอาเถอะ ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สุดแล้วแต่-แต่จงจำเอาไว้ว่าเราจะจับเป็น” เขาสั่งโดยที่ไม่ยอมฟังคำคัดค้าน
นายดาบตำรวจนำกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างแผ่วเบาท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรี ต้องอาศัยไฟฉายกระบอกจิ๋วเปิด-ปิดส่องนำทางเป็นช่วงๆ พอให้มองเห็นเวลาก้าวย่าง บางครั้งต้องหมอบราบกับพื้นเมื่อสายฟ้าแลบมาเป็นระยะๆ
ฝนเริ่มลงเม็ดพรำๆ เขากระซับเสื้อแจ็กเก็ต และขยับหมวกให้แน่นเพื่อคลายหนาว
บ่ายที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาเรียกเขาเข้าไปพบ
“สายเรารายงานว่าเสือมืดกลับมาบ้าน หมวดนำกำลังเข้าจับกุม ผมอยากให้จับตาย เพราะประวัติมันร้ายกาจมาก ผมไม่อยากให้โอกาสมันต่อสู้ในชั้นศาลเดี๋ยวหลุดออกมาสร้างความเดือดร้อนอีก”
“แต่ถ้าเขายอมโดยไม่ต่อสู้ล่ะครับท่าน”
“ก็สร้างภาพเลยสิ โน่นไปถามดาบลูกน้องคุณ เขามีวิธี” ผู้กำกับพูดพลางส่ายหน้า
“ครับ” เขารับปากอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงมากนัก เพราะเขาไม่เห็นด้วยเลยกับวิธีการนี้ และอีกอย่างเขารู้ดีว่าเสือมืดคือใคร
+++++++++++++++++++++++++
แสงแดดอุ่นๆ ท่ามกลางหมอกจางๆ เขากับมืดในวัยเด็กเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะไปตามท้องทุ่งดอกกระเจียวที่ออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งมุ่งหน้าสู่โรงเรียนของหมู่บ้าน
“ไอ้ฤทธิ์ ตามข้าให้ทันสิวะ” มืดท้าทายก่อนวิ่งนำหน้า เขาขยับเท้าวิ่งไล่ตามกระชั้นชิด
“ถ้าตามทันข้าเตะเอ็งนะเว้ยมืด”
“ได้เลยเพื่อน ฮ่าๆๆ” เมื่อวิ่งตามทัน ทั้งสองก็กระโดดเตะหยอกล้อกันสนุกสนาน
“เฮ้ยๆ ทำอะไรกัน รีบๆ ไปโรงเรียนเร็วๆ เข้าเดี๋ยวไปไม่ทันเข้าแถวหรอก” เสียงตวาดขณะขี่จักรยานมาตามหลัง
“ครับคุณครู” ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันก่อนวิ่งเข้าไปในเขตบริเวณโรงเรียนที่อยู่ข้างหน้า
จบจากชั้นประถมทั้งสองก้าวเข้าสู่โรงเรียนมัธยมในตัวอำเภอ แต่ละวันจะห้อยโหนรถสองแถวที่บรรทุกผู้โดยสารโดยเฉพาะนักเรียนอัดแน่นเต็มคันรถ
“จบมอหกแล้วเอ็งคิดจะทำไงต่อวะฤทธิ์” มืดถามเขา
“ข้าว่าจะสอบเป็นตำรวจว่ะ เพราะข้าอยากเป็นตำรวจ และจะเป็นตำรวจที่ดีของประชาชน” ดวงตาของเขาแน่วแน่
“เออวะ...ข้าเอาด้วยคนไปไหนไปกัน” มืดตอบพลางหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขัน
วันนั้นเขากับมืดไปดูประกาศผลการสอบ ทั้งสองดีใจที่จบการศึกษา ชั้น ม. 6 ดังตั้งใจ จึงถือโอกาสไปเดินเที่ยวตลาดในตัวอำเภอ ขณะเดินผ่านร้านเหล้า เสียงเพลงจากตู้เพลงดังลั่น มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังดิ้นกันสุดมัน ด้วยความไม่ระมัดระวัง เขาเดินไปสะดุดเก้าอี้จนเซไปชนกลุ่มวัยรุ่นนั้นเข้า
“ขอโทษครับพี่” เขากล่าวอย่างน้อมน้อม
“ไอ้น้องมึงเดือดร้อนแน่งานนี้” ชายคนพูดปล่อยฝ่ามือไปที่ใบหน้าเขา-เขาเอี้ยวตัวหลบจนฝ่ามือนั้นวืดไป
“เฮ้ย...มันสู้” คนที่ตบร้องบอกเพื่อนๆ ที่กำลังดิ้นไปตามจังหวะเพลงจนต้องหยุดชะงักหันไปมอง และแล้วทั้งหมดพร้อมใจกันเดินปรี่เข้าใส่เขา
“โทษครับพี่...โทษครับ ผมเปล่าสู้นะครับ” เขายกมือทั้งสองขึ้นห้ามพลางถอย แล้วมองหามืดที่กำลังซื้อของฝั่งถนนตรงกันข้าม
เขาดึงเอาเก้าอี้ของร้านมาขวางทางพวกนั้นไว้ ก่อนตัดสินใจวิ่งไปหามืด แล้วดึงแขนมืดออกจากร้านค้า วิ่งหนีเข้าไปในซอย
“มันเรื่องอะไรวะฤทธิ์”
“มีคนไล่ทำร้ายเรา” เขาตอบอย่างหวาดระแวง และกระหืดกระหอบ
สักครู่เสียงมอเตอร์ไซค์ไล่ตามหลังมา เขาหันไปมองก่อนที่จะวิ่งหนีต่อจึงรู้ว่ามีมอเตอร์ไซค์ไล่ตามมาสองคัน
“เฮ้ยไอ้มืดอย่า...รีบหนีตามมาสิวะ” เขาร้องตะโกนเมื่อเห็นมืดคว้าไม้ข้างทางแล้วยืนรอประจันหน้า
“เอ็งหนีไปก่อนข้าไอ้ฤทธิ์”
“ไม่...เพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อน” เขาตอบพลางขยับจะเข้าไปช่วยเป็นจังหวะเดียวกันที่มืดหวดไม้ไปที่คนขับมอเตอร์ไซค์คันนำหน้า จนรถเสียหลักพุ่งชนกำแพงอย่างจัง คนขับกับคนซ้อนอัดกับกำแพงดังโครมแน่นิ่ง คันที่สองตามมาเห็นเพื่อนเป็นเช่นนั้นจึงจอดรถ เมื่อลงจากรถคนที่ขับก็ชักดาบ
สปาต้าจากฝักที่สะพายหลังมา อีกคนถือท่อนไม้คมแฝก เดินเข้าหามืดอย่างโกรธแค้น เอาเป็นเอาตาย มืดยืนถือท่อนไม้รอรับการจู่โจม อย่างไม่เกรงกลัวหรือคิดหนี
“หนีเถอะมืด...หนีเถอะ” เขาร้องบอกด้วยหัวใจระทึกเต้น แต่เหมือนมืดไม่ได้ยินยังคงยืนนิ่งคล้ายนักดาบซามูไรทำสมาธิก่อนเข้าโรมรันข้าศึก
ฤทธิ์ยอมรับว่ากลัวและใจไม่ห้าวหาญพอเช่นมืด เขาได้แต่แปลกใจว่าทำไมมืดถึงได้ใจเด็ดเดี่ยวนัก อันที่จริงมืดก็แค่นักมวยสมัครเล่นของโรงเรียนเท่านั้น
คนถือไม้วิ่งเข้าใส่แล้วหวดไม้หมายที่หัวของมืดเต็มแรง มืดหลบอย่างฉับพลัน ในเสี้ยววินาทีนั้นมืดกระโดดลอยตัวพร้อมฟาดท่อนไม้ในมือเข้าใส่ โดนที่ท้ายทอยของคนนั้นอย่างจังจนไม้กระเด็นหลุดมือผลทำให้คนที่โดนร้องโอยล้มลงแน่นิ่ง คนที่ถือดาบยิ่งโกรธแค้นเป็นทวีคูณ วิ่งไล่ฟันมืดพลางร้องตะโกนลั่น
“มึงตาย”
มืดกระโดดหลบไปมา อย่างไม่มีทางโต้ตอบ จังหวะนั้นฤทธิ์ตัดสินใจคว้าไม้ไผ่ราวตากผ้ายาววาเศษ แกว่งเข้าไปหาชายถือดาบเพื่อช่วยเพื่อน
“มึงรุมกูเหรอ งั้นตายทั้งสองเลย” พูดจบคนนั้นเบนความสนใจมาที่ฤทธิ์ พร้อมยกดาบรับท่อนไม้ที่ฤทธิ์กระหน่ำตี และฟันโต้ตอบเข้าใส่ จนไม้ในมือฤทธิ์นั้นขาดสองท่อนพร้อมกระเด็นหลุดมือ และแล้ว...ฤทธิ์ก็เป็นฝ่ายถูกฟันเข้าใส่ เขาหลบพลางถอยหลังอย่างตกใจ พลัน...เขาเกิดสะดุดก้อนหินล้มลง เสี้ยววินาทีนั้นเขาตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นดาบถูกเงื้อขึ้นสุดแขนหมายฟันเขา โอ...พระเจ้าช่วยเขาคิดว่าคงตายแน่แท้ แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง มืดมาทัน แล้วกระโดดถีบที่กลางหลังของชายคนนั้นสุดแรงจนกระเด็นหัวคะมำข้ามตัวเขาไปกระแทกกับพื้น ฤทธิ์ได้ยินแต่เสียงร้องโอย จึงหันไปมอง โอ...ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว คมดาบที่ชายคนนั้นจะฟันเขามันกลับฝังจมไปที่หน้าผากของเจ้าของ เลือดพุ่งกระฉูดออกมาเป็นระยะก่อนล้มลง
ฤทธิ์ลุกขึ้นยืนงงกับเหตุการณ์ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหวอรถตำรวจดังแว่วมาแต่ไกลเสียงนั้นใกล้เข้ามา
“ไอ้มืดหนีเร็ว” เขาร้องบอกเมื่อได้สติพร้อมขยับเท้าวิ่ง
ฤทธิ์เข้าไปหลบที่ซอกตึกร้าง เวลานี้ใจของเขาเต้นระทึก เวลาผ่านไปเนิ่นนาน- นานจนค่ำ เขาคิดว่ามืดคงเอาตัวรอดกลับไปแล้วเป็นแน่ เขายอมรับว่าช่วงที่หลบซ่อนเขาลืมมืดเสียสนิทและไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนที่ไหน เขาจึงออกจากที่ซ่อนกลับบ้าน
“ลูกไปไหนมา รู้มั้ยว่าไอ้มืดมันถูกตำรวจจับ มันฆ่าลูกชายกำนัน” เขาสะดุ้งตกใจกับคำบอกเล่าของแม่
“ยายมันร้องไห้เสียใจจนเป็นลม ดีนะที่ฤทธิ์ไม่ได้ไปกับมันไม่งั้นแย่” สิ้นเสียงแม่เขายืนนิ่งคล้ายรูปปั้น
มืดสารภาพว่าเขาทำคนเดียว ด้วยวัยเกินสิบแปดแต่ไม่ถึงยี่สิบเขาจึงถูกศาลปราณีตัดสินจำคุกไปยี่สิบปี และในปีเดียวกันนั้นฤทธิ์สอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจได้ และเขาถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
สิบปีต่อมาฤทธิ์ย้ายกลับมารับราชการที่สถานีตำรวจบ้านเกิดเมื่อเขาสอบเลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจตรีได้ในตำแหน่งรองสารวัตรปราบปราม เขาจึงรู้ข่าวว่ามืดแหกคุกออกมาเมื่อปีที่แล้ว มืดกลายเป็นโจรปล้นในหลายจังหวัด เวลานี้ทางการต้องการตัวเสือมืดโดยตั้งค่าหัวไว้หลายแสนบาทไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย
++++++++++++++++++++++
ปืนในมือของฤทธิ์ยังกระชับไว้แน่น เขาตัดสินใจเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ใกล้บ้านเข้าไปทุกขณะ ทุกขณะ แต่แล้วเขาเผลอไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า
“ใครอยู่ข้างนอก ถ้าไม่บอกยิงนะเว้ย” เสียงจากคนในบ้านร้องออกมา
“มืด ข้าฤทธิ์เพื่อนเอ็งไง ข้าว่าเอ็งมอบตัวเสียเถอะ”
“อ๋อ ไอ้ฤทธิ์ไอ้เพื่อนทรยศ เดี๋ยวนี้ได้เป็นนายตำรวจแล้วสิท่า ไม่มีทางหรอกว่าข้าจะมอบตัว” เสียงจากข้างในบ้าน
“ถ้าเอ็งจะพูดถึงอดีตล่ะก็ ข้าขอโทษ แต่วันนี้ข้าขอให้เอ็งมอบตัวกับทางการเสียเถอะเพื่อน โทษหนักจะได้เป็นเบา อย่าคิดหนีอีกเลย ไปไม่รอดหรอก เวลานี้ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว” ฤทธิ์แสดงความห่วงใยเพื่อน
“หึหึ อย่ากล่อมเสียให้ยาก ข้ารู้ดี ข้าติดคุกหลายปี ข้าไม่อยากกลับเข้าไปอีก ส่วนเอ็งล่ะก็ถ้ารักตัวกลัวตาย หนีกลับไปดีกว่า หนีเอาชีวิตรอดเหมือนครั้งนั้น” มืดตะโกนออกมาจากในบ้าน
“เอ็งเข้าใจข้าผิดแล้วมืด แต่เอาเถอะพูดไปก็แค่นั้น ขอให้เอ็งมอบตัวกับข้าแค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว” เขาพูดยังไม่จบดีก็มีเงาสลัวคนสาม-สี่คนพุ่งออกมาทางหน้าต่างพร้อมเสียงปืนดังขึ้นสาม-สี่นัดเพื่อเป็นการเปิดทาง
ตำรวจทุกนายหลบเข้าที่กำบังพร้อมสาดกระสุนเข้าใส่เช่นกัน เวลานี้ไม่มีใครคิดจะจับเป็นเสือมืดเสียแล้ว นอกเสียจาก ร.ต.ต.ฤทธิ์คนเดียว
ฤทธิ์วิ่งเข้าไปในบ้านแล้วกระแทกตัวเปิดประตูเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ปืนในมือถูกเล็งไปข้างหน้าพลางส่ายไปมาพร้อมกับสายตาอย่างระมัดระวัง และแล้วสายตาของเขาพร้อมปืนก็เล็งไปที่ร่างของหญิงชราที่นอนอยู่มุมห้อง ร่างนั้นสะดุ้งพลางโงหัวขึ้นมาอย่างยากเย็น เขาลดปืนลงอย่างรวดเร็ว
“ฤ... ฤทธิ์รึ” เสียงแหบแห้งพร้อมไอตามมาทุกระยะ
“ครับยาย”
“ยายไม่สบายเหรอครับ เดี๋ยวสายๆ ผมจะพาหมอมาดูอาการให้ ผมขอตัวก่อน” เขาออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงที่แหบแห้งร้องบอก
“ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันนะฤทธิ์”
แสงทองจับขอบฟ้าเวลานี้ฝนหยุดตกไปแล้ว ตำรวจเคลื่อนตัวแบบก้มต่ำตามโขดหินอย่างระมัดระวัง
“ดาบกับลูกน้องตามไปทางโน้น ส่วนผมจะไปดักหน้าทางนี้ ระวังตัวด้วย”
“ครับหมวด แต่ผมว่าหมวดเอาลูกน้องไปด้วยสิ”
“ไม่ต้อง ผมไปคนเดียวพอ”
ความมืดจางหายไปแล้ว ปืนในมือฤทธิ์ยังกระชับไว้แน่น พร้อมก้าวย่างไปตามเชิงเขาที่มีต้นไม้ใหญ่น้อยประปราย
พลัน...
“หยุดเดี๋ยวนี้...มืด..เอ็งมอบตัวเสียเถอะ หันมาช้าๆ พร้อมวางปืนลง” ฤทธิ์ตะโกนพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปที่ชายกลุ่มนั้น
“พวกเอ็งหนีไปก่อน ข้าจะจัดการกับตำรวจคนนี้เอง” มืดสั่งลูกน้อง แล้วเล็งปืนพร้อมก้าวเดินมาที่ฤทธิ์ ส่วนลูกน้องหนีเข้าไปในแนวป่า
ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเล็งปืนในมือเข้าใส่กันและกัน
“ข้ารู้ว่าเอ็งมาเยี่ยมยายที่ป่วย” ฤทธิ์ค่อยๆ ลดปืนลง
“แกก็เลยตามมาจับข้าล่ะสิ” มืดพูดจบลดปืนลงตาม
“เอ็งมอบตัวเสียเถอะวะเพื่อน ไม่ต้องห่วงยายหรอกข้าจะดูแลพร้อมหาหมอมารักษา”
“ถ้าข้ามอบตัวแล้วแกจะได้มีผลงานใช่มั้ยล่ะ จะได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งล่ะสิท่า” มืดประชดประชัน
“ทำไมเอ็งต้องเป็นโจรด้วยวะ ปล้นเขากินมันไม่ใช่นิสัยลูกผู้ชายอย่างเอ็งเลยนี่หว่า” ฤทธิ์ส่ายหน้า
“ฮ่าๆๆ” มืดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ถึงข้าปล้น...ข้าก็ปล้นพวกทำนาบนหลังคน พวกคดโกงเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แม่งร่ำรวยจากการโกงจำนองที่นาเอาดอกเบี้ยสูงๆ เพื่อหาโอกาสยึดเอาเป็นของตน ส่วนอีกพวกก็ทุจริต คอรัปชั่น คดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่ำรวยอยู่ดีกินดี ชาวบ้านล่ะนับวันจนลงจนลง แล้วใครล่ะจะแก้ปัญหานี้ได้ มันต้องพวกข้าถึงจะจัดการกับพวกมันได้ เงินที่ปล้นได้ข้าก็เอามาแจกชาวบ้านที่ยากจน พวกชั่วช้าสามานย์อย่างนั้นต้องได้รับบทเรียนจากพวกข้าอย่างสาสม” มืดพูดอย่างสะใจในอารมณ์
“แต่มันผิดกฎหมายบ้านเมือง” ฤทธิ์อธิบาย
“ข้ารู้แต่จะทำยังไงได้ เพราะกฎหมายก็อยู่ในมือพวกมัน”
“เอ็งวางปืนแล้วมอบตัวกับข้า-ข้ารับรองความปลอดภัย โทษหนักจะได้เบาลง”
มืดยืนนิ่ง ครุ่นคิด
“คิดไปคิดมาข้าก็เบื่อที่จะหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกัน ใจจริงแล้วข้าก็อยากมีชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไป ทำไร่ไถนาแค่นี้ก็คงจะมีความสุข”
“คิดถูกแล้วเพื่อน ข้าว่าเอ็งติดคุกไม่นานหรอกเชื่อเถอะเดี๋ยวข้าจะช่วยอีกแรง”ฤทธิ์เริ่มยิ้มออกเมื่อการเจรจาค่อนข้างจะได้ผล
แต่แล้ว... สายตามืดก็จ้องมองมาที่ฤทธิ์เขม็ง... ฉับพลัน!! นั้นเอง มืดยกปืนขึ้นเล็งมาทางเขาพร้อมเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีนั้น ฤทธิ์ระวังตัวอยู่แล้ว ด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว เขาจึงยิงสวนออกไปทำให้เกิดเสียงปืนดังติดต่อกันเป็นสองนัดซ้อนดังก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่านกกาแตกตื่นบินว่อน
ฤทธิ์-มืดคงยืนนิ่งในท่าเล็งปืนใส่กันชั่วครู่แล้วร่างของมืดทรุดฮวบลงพื้น เลือดสดๆ ทะลักออกมา เขารู้ว่ามืดยิงเขาก่อน แต่เมื่อมองหาจุดที่ถูกยิงกลับหาไม่เจอ หรือว่ามืดยิงไม่แม่นพอ จึงไม่โดน แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบเมตร เขาจึงมองไปทางซ้ายทีขวาที และด้านหลัง เท่านั้นเองเขาต้องสะดุ้งตกใจรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อ่านฉบับเต็มคลิกที่นี่
|