วันคืนสู่เหย้า…ของชาวทุ่งกระต่าย
โดย...ป.ยุทธ
๒๘ ธ.ค.๕๓
รถทัวร์เคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงงานใหญ่แล้วเลี้ยวไปตามถนนวิภาวดีรังสิตก่อนมุ่งหน้าไปทางสระบุรี ภายในรถอันเย็นฉ่ำมีผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่ง
“สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่กำลังเดินทางไปกับคณะผ้าป่าของเรา..” ผู้เป็นประธานคณะผ้าป่ายืนประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียงด้านหน้าสุดของแถวที่นั่ง สมาชิกที่ร่วมเดินทางนั่งฟังอย่างตั้งใจ
“เป็นที่ทราบกันดีแล้วนะครับว่าปีใหม่ปีนี้เราจะนำผ้าป่าไปทอดที่โรงเรียนบ้านทุ่งกระต่าย ในนามศิษย์เก่าแล้วร่วมงานวันคืนสู่เหย้าชาวทุ่งกระต่าย ยอดเงินบริจาคที่รวบรวมได้ทั้งสิ้นจำนวนสามแสนสองหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยบาท” เสียงปรบมือดังกราวระคนเสียงโห่ร้องยินดีไปทั้งคันรถ
“ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มีจิตศรัทธาบริจาคเงิน และร่วมเดินทางไปทอดถวายในครั้งนี้ และในครั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะคนบ้านทุ่งกระต่ายที่มาทำงานกรุงเทพเท่านั้นที่เดินทางไปทอดถวาย แต่มีผู้มาจากถิ่นอื่นที่ท่านมีจิตศรัทธาอันแรงกล้าขอร่วมเดินทางไปกับคณะผ้าป่าของพวกเราด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่บ้านเกิดของท่าน แต่ท่านก็ยังมีน้ำใจร่วมบริจาคและร่วมเดินทางไปทอดกับคณะของเรา...น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลชื่อท่าน เชิญโชว์ตัวหน่อยครับ” สิ้นเสียงประธาน ผู้แปลกหน้าต่างถิ่นที่นั่งคละตามเบาะนั่งภายในรถยืนขึ้นราวแปด-เก้าคนพร้อมยกมือไหว้ เสียงปรบมือดังกราวขึ้นอีกครั้งเป็นการต้อนรับ
“ขอบคุณพวกท่านมากนะครับที่ร่วมบริจาคและร่วมเดินทางมากับเรา... พวกเราชาวทุ่งกระต่ายขอต้อนรับด้วยความยินดี... จากนี้ไปขอให้ทุกๆ ท่านสนุกสนานกันอย่างเต็มที่”
ชาวคณะผ้าป่าพากันร้องรำทำเพลงประสานเสียงกันอย่างครื้นเครง โดยมีกองยาว ฉิ่ง ฉาบ และเสียงตบมือให้จังหวะ เหล้าเบียร์ถูกรินแจกจ่ายให้ผู้ชื่นชอบการดื่มไปทั่วทั้งรถ
บุญชูนั่งแถวหลัง ฟังเพื่อนๆ ร้องรำทำเพลงพลางกระดิกเท้าไปตามจังหวะอย่างอารมณ์ดี บุญชูยกมือปฏิเสธเมื่อเพื่อนรินเหล้าให้ ความจริงเขาเลิกดื่มมาหลายปีแล้ว
บุญชูมองคนต่างถิ่นที่เข้าร่วมคณะผ้าป่า เห็นบางคนกำลังยืนตบมือไปกับจังหวะเสียงเพลง พลางขยับปากร้องไปด้วยอย่างสนุกสนาน เขาอดชื่นชมในความมีน้ำใจของคนเหล่านี้ไม่ได้
บุญชูเคยเห็นหน้าค่าตาคนเหล่านี้มาก่อนเป็นบางคน และคนที่เขาเคยเห็นหน้านั้น เขารู้ว่ามาเพื่อตามจีบสาวๆ บ้านทุ่งกระต่าย แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ส่วนมากมากับเพื่อนๆ หรือไม่ก็เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทอดที่ชวนกันมาเที่ยว บุญชูยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เพิ่งจะสามทุ่มกว่าๆ เขาอดดีใจและตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้กลับบ้านครั้งนี้
ผู้คนที่มาจากแดนอีสานที่มุ่งหน้ามาหางานทำในเมืองหลวงหรือดินแดนที่พวกเขาเหล่าให้สมญานามว่าแดน ‘ศิวิไลซ์’ พวกเขาต่างเข้ามารับจ้างก็เพื่อหนีความอดอยาก-ความอดอยากอันเนื่องมาจากถิ่นอีสานบ้านเกิดของพวกเขาเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความแห้งแล้ง ทำไร่ทำนาได้ผลผลิตน้อยไม่พอกิน เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนก็จะต้องอดตาย แต่จะมีใครบ้างเล่าที่จะยอมให้ตัวเองอดตายโดยไม่ดิ้นรน พวกเขาจึงเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงหารับจ้าง เพื่อจะได้ส่งกลับไปให้ผู้เฝ้ารออยู่ทางบ้านได้มีอยู่มีกินเฉกเช่นเดียวกัน
เทศกาลปีใหม่ทุกๆ ปีโรงงานจะหยุดงานหลายวัน พวกเขาจึงอาศัยวันหยุดที่ว่านี้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แต่การกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดต้องหารายได้ไปพัฒนาหมู่บ้านโดยการนำผ้าป่าไปถวายวัด หรือไม่ก็โรงเรียน
แต่การกลับบ้านของบุญชูในครั้งนี้มีความหมายสำหรับเขา
นั่นคือเขาไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ความหวังตั้งใจของเขาคือกลับบ้านอย่างถาวร เขารู้ดีว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งคนอีสานต้องเลิกรับจ้างแล้วกลับไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านเกิด นั่นก็คือกลับไปทำไร่ไถนาอันเป็นอาชีพมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ
บุญชูอดไม่ได้ที่จะเอามือแตะที่กระเป๋ากางเกง พลางกระหยิ่มในใจ เงินสามหมื่นที่เก็บหอมรอมริบไว้คงใช้ได้นานโขทีเดียวสำหรับบ้านนอก เขาตั้งใจเก็บไว้เป็นทุนรอนในการทำไร่ทำนา คราวนี้ล่ะครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที ที่ไหนๆ ก็ไม่มีความสุขเท่าบ้านเกิด ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาเขากลับไปเยี่ยมบ้าน นี่ก็ตั้งแปดเดือนเข้าแล้ว ลูกเมียที่อยู่ทางบ้านคงชะแง้คอยเมื่อรู้ว่าถึงเทศกาลปีใหม่ รถถึงบ้านเมื่อไหร่ล่ะก็...ลูกๆ ทั้งสองคงวิ่งเข้ามารับ เขาจะสวมกอดให้หนำใจกับความคิดถึงทีเดียว ขนมกับของเล่นที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางคงทำให้ลูกๆดีใจไม่น้อย เหลือเวลาไม่นานนักหรอกสว่างเมื่อไหร่ละก็ถึงบ้านแน่ โอ...บ้านทุ่งกระต่ายของเรา เขาคิดขณะมองข้างทางเรื่อยเปื่อย
ปีใหม่ครั้งนี้บุญชูกับเพื่อนๆ ถือโอกาสจัดกองผ้าป่าเพื่อจะนำไปทอดเป็นทุนการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ให้แก่เด็กๆ ที่โรงเรียนบ้านเกิด โรงเรียนที่เขาเคยเรียน และเป็นโรงเรียนที่ลูกๆ ของเขากำลังเรียนอยู่ในขณะนี้ จากนี้ไปเด็กๆ โรงเรียนบ้านทุ่งกระต่ายจะได้รู้จักรูปร่างหน้าตา และได้เรียนรู้คอมพิวเตอร์เท่าเทียมโรงเรียนในเมืองเสียที
รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางสายมิตรภาพอย่างไม่รีบเร่งนัก เสียงเพลงจากการขับร้องของเพื่อนๆ แผ่วเบาลงไปบ้างแล้ว มีหลายคนหลับไป อาจเป็นเพราะความเมา หรือไม่ก็ความอ่อนเพลีย ครู่ต่อมาเสียงเพลงที่ชาวคณะผ้าป่าขับขานก็เงียบสนิท ผู้คนเริ่มจะหลับใหล
บุญชูนั่งหาวแล้วหาวอีกแต่ตาไม่ยอมหลับ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกทุ่มหนึ่งนาที เขาสะดุ้งนิดๆ เมื่อคิดได้บางอย่าง โอนี่...แสดงว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม แล้วหรือนี่ เขาคิดพลางส่งสายตามองเพื่อนๆ ที่มัวแต่หลับใหลไม่สนใจใยดีกับวันขึ้นปีใหม่เอาเสียเลย
หลายต่อหลายครั้งที่บุญชูพยายามข่มตาให้หลับแต่ตาไม่ยอมหลับเสียที เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากแสงไฟริมถนนจึงรู้ว่าเข้าเขตดินแดนแห่งภาคอีสานแล้ว
และแล้ว!!...ทุกคนที่กำลังหลับใหลเคลิบเคลิ้มก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีเสียงประกาศก้องใส่เครื่องขยายเสียง
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงอันแข็งกร้าวเล่นเอาสายตาทุกคู่ตื่นแล้วจ้องมองไปยังผู้ยืนประกาศอยู่ด้านหน้า
สมาชิกคณะผ้าป่าหลายคนเริ่มเอะอะโวยวายดังอื้ออึงว่าเกิดอะไรขึ้น? สักครู่ชายสองคนลุกจากที่นั่งเดินไปยืนสมทบพร้อมชักปืนพกขึ้นมาแล้วส่ายไปมาทางผู้คนที่นั่งอยู่
บุญชูจ้องไปที่ชายทั้งสาม รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนต่างถิ่นที่ขอเข้าร่วมคณะผ้าป่า เขาไม่เคยเห็นหน้าคนทั้งสามนี่มาก่อนเลย
“นี่มันอะไรกันคุณ?” ประธานผ้าป่าร้องถาม
“เงียบ!...ถ้ายังไม่อยากตาย... ขอให้ทุกคนเตรียมเงินไว้ให้พวกเรา อย่าขัดขืนหากยังอยากมีชีวิตไปฉลองปีใหม่” เสียงตวาดดังขึ้นอย่างได้ผล
ชายคนเดิมหันไปทางคนขับรถ เมื่อเห็นรถชะลอความเร็วลง
“ขับไปเรื่อยๆ อย่าให้มีพิรุธ ถ้ายังไม่อยากตาย... ถึงแยกข้างหน้าแล้วให้เลี้ยวซ้าย...”
“เฮ้ย...นั้นมันทางลูกรังเข้าไร่ข้าวโพดนี่ อย่าให้เข้าไปเลยนะทางมันลำบาก” คนขับต่อรอง
“หุบปาก!!...ทำตามที่บอก” เสียงตวาดพร้อมยื่นปลายกระบอกปืนประชิดหัว
รถเลี้ยว ไปตามที่สั่ง แล้วชายที่แสดงตัวเป็นโจรคนเดิมหันมาร้องประกาศอีกครั้งอย่างเฉียบขาด
“ขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือกับพวกเรา...โดยเฉพาะโทรศัพท์ ห้ามใช้โดยเด็ดขาด เท่านี้ทุกคนก็จะปลอดภัย”
“ไป๊!...พวกเอ็งไปเก็บเงินกับทุกคน ข้าจะคุมคนขับเอง” ชายคนเดิมร้องสั่งลูกน้อง
สมุนทั้งสองถือปืนจ้องขู่ไปที่ประธานผ้าป่าแล้วถือวิสาสะหยิบเอาซองที่บรรจุเงินทำบุญที่วางอยู่ในขันเงินหน้าตักแล้วใส่ลงไปในย่ามที่สะพายมา
“อย่าเอาเลย...เงินทำบุญมันบาป” ประธานพูดเสียงอ่อยๆ ขอร้อง
“เงียบเถอะน่า...ถ้าไม่อยากเดือดร้อน” สมุนโจรพูดก่อนเดินไปที่ชาวคณะผ้าป่าที่นั่งแต่ละแถวพร้อมปืนในมือจ้องขู่พลางเค้นเอาเงินที่ติดตัวมาเมื่อได้แล้วก็ใส่ลงไปในย่าม
รถแล่นไปตามถนนสายลูกรังที่มีหลุมขรุขระบ้างเป็นบางช่วง สองข้างทางเป็นป่าเขาอันรกทึบจนดูเปลี่ยว
ชายคนหนึ่งขัดขืนการค้นกระเป๋าเลยถูกทุบด้วยด้ามปืนฟุบลงไป อีกคนเห็นเพื่อนโดนเลยลุกขึ้นจะเข้าช่วย แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกปลายกระบอกปืนจี้ที่หน้าผาก จึงค่อยๆ นั่งลงแต่โดยดี
“พวกมึงอยากตายเหรอ?...” หนึ่งในสองสมุนโจรที่เดินรีดเงินร้องก้อง เวลานี้ทุกคนเงียบกริบ
บุญชูนั่งมองหัวใจเต้นถี่ อีกไม่กี่คนก็ถึงคิวเขาแล้ว เขาคิดถึงเงินในกระเป๋ากางเกง จะต้องหาที่ซ่อนไว้ให้รอดพ้นสายตาพวกมัน คิดได้ว่าต้องซ่อนไว้ใต้เบาะนั่ง พอล้วงเอาเงินออกมาเท่านั้น เขาต้องสะดุ้งเมื่อปลายกระบอกปืนมาแตะที่หัว
“จะหยิบให้เหรอ...ขอบใจ ฮ่าๆ ว้า...เงินเยอะดีนี่” พูดจบโจรคนนั้นก็แย่งเอา
บุญชูทำขัดขืนอย่างเสียดาย จึงถูกปลายกระบอกปืนเคาะที่หัวจนเจ็บ ในที่สุดเขาต้องยอมแต่โดยดี หมดสิ้นกัน...เงินที่เก็บหอมรอมริบ เมื่อกลับบ้านไปโดยที่ไม่มีเงินจะมีประโยชน์อะไร? ความอดอยากหิวโหยของลูกเมีย ก็คงเหมือนเดิมอีก เขาคิดอย่างสิ้นหวัง
สมุนโจรทั้งสองเอาเงินจากทุกคนครบแล้ว จึงเดินไปหยุดยืนอยู่ช่วงกึ่งกลางรถถือปืนคุมรอคำสั่ง
บูญชูยอมรับว่าเสียดายเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก ความตั้งใจจะนำเงินก้อนนี้กลับไปตั้งหลักปักฐานที่บ้านเกิด แล้วลูกเมียก็รอเงินก้อนนี้จากเขาอยู่ ไม่...เขายอมไม่ได้ เขาคิดพร้อมกำหมัดขบกรามแน่น
“ถ้าเอาหมดแล้ว พวกเอ็งกลับมานี่ เราใกล้จะถึงที่นัดหมายแล้ว” โจรผู้เป็นหัวหน้าร้องสั่ง
พลัน!.. จังหวะที่โจรทั้งสองเดินหันหลังกลับ บุญชูตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ชั่วอึดใจเขาคว้าขวดเหล้าเปล่าที่กลิ้งอยู่กับพื้นรถกระโดดฟาดไปที่หัวกึ่งท้ายทอยสมุนโจรคนที่เดินตามหลังอย่างแรง จนเสียงขวดแตกดังพลั๊ว โจรคนนั้นทรุดฮวบลงกองกับพื้น ผู้คนบนรถหวีดร้องอย่างตกใจ สมุนอีกคนหันกลับมาหาบุญชูด้วยสัญชาตญาณพร้อมตวัดปืนเข้าหาหมายจะลั่นไกใส่ แต่ช้าไปกว่าเขาที่ระวังตัวอยู่แล้ว จึงใช้มือซ้ายปัดปืนให้พ้นวิถีพร้อมหมัดที่กำแน่นๆ ปล่อยออกไปสุดแรงเกิดที่ใต้คางจนสมุนโจรคนที่สองผงะหงายล้มทั้งยืนอีกคน
ปัง!
เสียงปืนกัมปนาทขึ้นจนทุกคนตกใจเป็นทวีคูณ อาจเป็นเพราะสภาพถนนลูกกระสุนจึงแค่เฉียดหัวบุญชูไปอย่างหวุดหวิดก่อนที่จะพุ่งทะลุกระจกหลังรถเป็นรูโหวและแตกร้าว ชายหัวหน้าโจรรู้ว่ายิงไม่ถูกจึงเดินปรี่เข้าหาอย่างโกรธแค้น
“ มึงอยากตายใช่มั้ย? ได้...มึงได้ตายสมใจแน่! ไอ้เสี่ยว” พูดขณะย่างสามขุมเข้าหาพร้อมปืนในมือเล็งใส่
บุญชูยืนนิ่งตกใจ โอ...ตายแน่แล้วคราวนี้ทำไงดี? เขาได้แต่ตะลึง และยอมรับว่าหมดหนทางสู้ ผู้คนบนรถต่างตะลึงจังงังทำอะไรไม่ถูก
“มึงเก่งนักหรือ? ได้...กูจะให้มึงไปเก่งในนรก ” พูดจบยกปืนในมือขึ้นเล็งไปที่หัวบุญชูในระยะประชิด
เสี้ยววินาทีนั้น!...
กรืดดดดด.....
เสียงล้อรถลากไปกับถนนลูกรังเป็นทางยาว ผลทำให้ผู้คนในรถหวีดร้องระคนเสียงโอดโอยเมื่อหัวโขกกับพนักพิงข้างหน้า เป็นจังหวะที่ทำให้หัวหน้าโจรหงายหลังกระเด็นอย่างไม่เป็นท่า ส่วนบุญชูก็เสียหลักเซถลาตามไปติดๆ เมื่อรถหยุดนิ่งภาพที่ทุกคนเห็นคือบุญชูล้มทับตัวหัวหน้าโจรช่วงระหว่างทางเดินกลางรถ
บุญชูกับหัวหน้าโจร ต่างมองหน้ากันแบบจังงังไปชั่วขณะ โจรร้ายรู้ว่าปืนในมือตนหลุดหายไปยิ่งตกใจ จึงตัดสินใจต่อยหน้าบุญชูแต่ไม่ถนัดนัก เมื่อรู้ว่าโจรหมดเขี้ยวเล็บแล้ว เขานั่งค่อมแล้วรีบประเคนหมัดซ้ายขวาเข้าใส่ใบหน้าหลายชุด แล้วบีบคอโจรอย่างสุดกำลัง โจรก็ยื่นมือบีบคอเขาเช่นกัน
ต่างคนต่างบีบคอกันและกันอยู่ครู่ใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ชาวคณะผ้าป่าตะลึงงันดูทั้งสองสู้กัน และแล้ว…เสียงใครคนหนึ่งก็ร้องขึ้น
“อ้าวเฮ้ย...ช่วยไอ้ชูมันหน่อยเว้ยพวกเรา” สิ้นเสียงนั้นก็เกิดการเฮโลกันขึ้นทันที
++++++++++++++++
รถเลี้ยวกลับเข้าสู่ถนนมิตรภาพดังเดิมแล้วมุ่งหน้าสู่ที่หมายบ้านทุ่งกระต่าย ผู้คนนั่งเงียบงันทั้งคันรถ มีแต่เสียงรถเท่านั้นที่กระหึ่มตลอดเวลา
นาฬิกาบนข้อมือบุญชูบอกเวลาตีสามครึ่ง เวลานี้เขานั่งที่นั่งข้างๆ คนขับ
“ขอบคุณนะพี่ที่เบรคจังหวะนั้น” เขาหันไปหาคนขับรถที่กำลังทำหน้าที่
“หึๆ... บ่เป็นหยังน้อง...เฮาคนอีสานคือกัน บ๊ะ...โตนี่เก่งอีหลีน้อ...จั่งสิแหมถึงสิเอิ้นว่า นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ฮ่าๆ” คนขับหันมายิ้ม
บุญชูยิ้มตอบ แล้วลุกขึ้นจะกลับที่นั่งเดิมด้านหลัง
“เดี๋ยวน้อง...บอกทุกคนแหน่เด้อว่าเฮาจะเสียเวลาแวะโรงพักอำเภอข้างหน้านิดหน่อย เอาไอ้สามตัวนี้ไปแจ้งความ”
บุญชูพยักหน้าพลางหันไปดูโจรทั้งสามที่ถูกรุมประชาทัณฑ์ เสียจนสะบักสะบอมแล้วถูกมัดมือมัดเท้านอนสลบเรียงแถวอยู่ช่วงระหว่างทางเดิน
แต่เมื่อบุญชูมองผู้คนบนรถ ต่างพากันนั่งนิ่งเงียบทั้งๆ ที่เรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไปแล้ว แบบนี้ต้องสร้างสีสันต์ เขาจึงตัดสินใจคว้ากลองยาวที่กลิ้งอยู่ที่พื้นรถขึ้นมา แล้วตีเป็นจังหวะพร้อมร้องเพลงเสียงดังลั่นอย่างสนุกระคนสะใจ...
“♫ คนบ้านเดียวกัน....♪ แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่” เมื่อทุกคนได้ยิน จึงตื่นตัวแล้วร้องตามพร้อม ฉิ่ง ฉาบ และเสียงตบมือให้จังหวะประสานเสียงกันอย่างอัตโนมัติลั่นรถ... แม้แต่คนขับรถที่กำลังทำหน้าที่ยังขยับปากร้อง
“รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน ว่าหนักแค่ไหนบนหนทางสู้ ♫ ยังมีคำปลอบโยน ยังมีคำปลอบใจ มีคำว่าสบายดีบ่ให้กันเสมอเด้อ...คนบ้านเฮา...... ♫.”
&&&&&&&&&&&&&&&
|